หมวดหมู่: Lifestyle

สติ๊กเกอร์งานอาร์ต ทำไมจึงได้รับความนิยมมาก?

 

สติ๊กเกอร์งานอาร์ตที่ศิลปิน นักวาดทำออกาขายเป็นสิ่งที่ได้รับความนิยมมากในปัจจุบัน ใคร ๆ ก็ทำออกมาขายเยอะแยะ และมีคนรอซื้ออยู่เสมอ จึงเป็นอีกหนึ่งธุรกิจ และช่องทางหารายได้ที่ไม่ควรมองข้ามเลย วันนี้เราจะพาคุณมาหาคำตอบกันว่าทำไมสติ๊กเกอร์จึงเป็นงานอาร์ตที่ขายดี

สติ๊กเกอร์งานอาร์ตได้รับความนิยมมากในปัจจุบัน เพราะมีปัจจัยหลายประการ ดังนี้

  • ราคาไม่แพง 

สติ๊กเกอร์งานอาร์ตมีราคาไม่แพงมากเมื่อเทียบกับงานศิลปะประเภทอื่น ๆ ทำให้คนทั่วไปสามารถเข้าถึงได้

  • ได้สนับสนุนศิลปินรายย่อยในประเทศ

สติ๊กเกอร์งานอาร์ตส่วนใหญ่ผลิตโดยศิลปินรายย่อยในประเทศ การซื้อสติ๊กเกอร์งานอาร์ตจึงเป็นการสนับสนุนศิลปินเหล่านี้ให้สร้างสรรค์ผลงานต่อไป

  • เหมาะเป็นของขวัญให้เพื่อน 

สติ๊กเกอร์งานอาร์ตมีให้เลือกหลากหลายแบบ เหมาะกับทุกเพศทุกวัย จึงเป็นตัวเลือกของขวัญที่ดีสำหรับเพื่อน ๆ

  • มีหลายแบบให้เลือก 

สติ๊กเกอร์งานอาร์ตมีให้เลือกหลากหลายแบบ ทั้งแบบลายการ์ตูน ลายมินิมอล ลายกราฟิก ลายสัตว์เลี้ยง ฯลฯ ทำให้สามารถเลือกแบบที่ตรงกับความสนใจของแต่ละคนได้

  • นำไปใช้ติดสร้างสีสัน 

ความน่ารักให้กับสิ่งต่าง ๆ ได้ สติ๊กเกอร์งานอาร์ตสามารถนำไปติดตกแต่งสิ่งต่าง ๆ ได้ เช่น โทรศัพท์มือถือ โน้ตบุ๊ค สมุด กระเป๋า ฯลฯ ช่วยให้สิ่งต่าง ๆ เหล่านั้นดูมีชีวิตชีวาและน่ารักขึ้น

นอกจากปัจจัยเหล่านี้แล้ว ยังมีปัจจัยอื่น ๆ ที่ส่งผลต่อความนิยมของสติ๊กเกอร์งานอาร์ต เช่น กระแสความนิยมของงานศิลปะแบบมินิมอลและงานศิลปะแบบกราฟิก การเติบโตของสื่อสังคมออนไลน์ที่ทำให้ศิลปินสามารถเผยแพร่ผลงานได้ง่ายขึ้น และพฤติกรรมผู้บริโภคที่ชื่นชอบการซื้อสินค้าออนไลน์มากขึ้น

โดยสรุปแล้ว สติ๊กเกอร์งานอาร์ตได้รับความนิยมมากในปัจจุบันเพราะมีราคาไม่แพง เป็นการสนับสนุนศิลปินรายย่อยในประเทศ เหมาะสำหรับเป็นของขวัญให้เพื่อน มีให้เลือกหลากหลายแบบ และสามารถนำไปติดตกแต่งสิ่งต่าง ๆ ได้ ปัจจัยเหล่านี้ล้วนเป็นปัจจัยที่ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคในยุคปัจจุบัน

 

3 ภาพยนตร์ Animation ทำเงินดี เนื้อเรื่องกินใจเด็กและผู้ใหญ่

หนึ่งในประเภทของภาพยนตร์ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดทั้งจากเด็ก และผู้ใหญ่ ก็คงหนีไม่พ้นภาพยนตร์แบบ Animation นั่นเอง โดยวันนี้เรามี 3  ภาพยนตร์ Animation ที่ทำรายได้ได้อย่างถล่มทลาย อีกทั้งยังได้รับคำชมมากมาย และมีเนื้อเรื่องกินใจทั้งเด็กและผู้ใหญ่มาฝากกัน

1. Toy Story 4 (2019) เป็นภาคต่อของภาพยนตร์แอนิเมชั่นชื่อดังอย่าง Toy Story โดยภาคนี้ วู้ดดี้และบัซไลท์เยียร์ต้องออกผจญภัยเพื่อตามหาบอนนี่เพราะเธอและครอบครัวกำลังจะย้ายไปอยู่เมืองใหม่ และวู้ดดี้ไม่อยากให้บอนนี่ทิ้งเขาไป จึงตัดสินใจหนีตามบอนนี่ไป ในการเดินทางครั้งนี้วูดดี้ได้เจอกับโบ ปีบอีกครั้ง และต้องทำการตัดสินใจครั้งยิ่งใหญ่ในชีวิต ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับคำชมอย่างล้นหลามจากนักวิจารณ์ ว่าเนื้อเรื่องสนุกสนานและตลกขบขัน มีตัวละครที่น่ารักและน่าจดจำ ฉากและเทคนิคการสร้างสรรค์ก็สวยงาม อีกทั้งยังสอดแทรกข้อคิดดี ๆ ไว้ให้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่อีกด้วย

 

2. Coco (2017) เป็นภาพยนตร์แอนิเมชั่นแนวมิวสิคัลจากค่ายพิกซาร์ โดยภาคนี้ เล่าเรื่องราวของมิเกล เด็กชายชาวเม็กซิกันที่ใฝ่ฝันอยากจะเป็นนักร้อง แต่ครอบครัวของเขาห้ามเล่นดนตรี เพราะเชื่อกันว่าดนตรีเป็นสิ่งต้องห้าม วันหนึ่ง มิเกลได้แอบไปเล่นกีตาร์ของเออร์เนสโต เดอ ลา ครูซ นักร้องชื่อดังผู้ล่วงลับ ทำให้เขาถูกคำสาปพาไปยังดินแดนของคนตาย มิเกลจึงต้องหาทางกลับสู่โลกแห่งคนเป็น โดยต้องขอความช่วยเหลือจากบรรพบุรุษของเขา เรื่อง Coco ได้รับคำชมถึงเนื้อเรื่องสนุกสนานและอบอุ่นหัวใจ และที่สำคัญยังมีเพลงประกอบภาพยนตร์ที่ไพเราะ และสนุกสนานมากด้วย ฉากและเทคนิคการสร้างสรรค์ก็สวยงามและตื่นตาตื่นใจแถมลายเส้น และสีสันที่เลือกใช้ก็ทั้งสด และสวย

 

3. Frozen 2 (2019) เป็นภาคต่อของภาพยนตร์แอนิเมชั่นชื่อดังอย่าง Frozen โดยภาคนี้ เล่าเรื่องราวของแอนนา เอลซ่า คริสตอฟ ฮันส์ และโอลาฟ ออกเดินทางเพื่อตามหาคำตอบของเสียงลึกลับที่เอลซ่าได้ยิน เสียงลึกลับนั้นนำพวกเขาไปสู่ดินแดนแห่งอารยธรรมโบราณที่หายสาบสูญไปแล้ว  ภาคต่อของอนิเมชั่นเรื่องดังนี้ยังคงมีเพลงประกอบที่เพราะ และฮิตมาก ๆ ไม่แพ้ภาคแรก นอกจากนั้นเนื้อเรื่องยังสื่อถึงความกล้าหาร และความกล้าที่จะเป็นตัวเองอีกด้วย เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ทำออกมาได้ดีทั้งด้านภาพ เนื้อเรื่อง และบทเพลง 

3 ภาพยนตร์นี้ได้รับความนิยมมากทั่วโลก ทั้งในเด็กเล็ก วัยรุ่น ผู้ใหญ่ มีการทุ่มทุนสร้างจำนวนมาก และสามารถกอบโกยรายได้จำนวนมากด้วยเช่นกัน ใครที่ยังไม่เคยดูลองไปหาดูกันรับรองว่าไม่ผิดหวังแน่นอน

รวมท่าออกกำลังกาย เผาผลาญใน 3 นาที สำหรับคนมีเวลาน้อย

รวมท่าออกกำลังกาย เผาผลาญใน 3 นาที สำหรับคนมีเวลาน้อย

สำหรับใครที่อยากออกกำลังกาย แต่ก็ไม่มีเวลา วันนี้เรามาแชร์การออกกำลังกายแบบ High Intensity Workout ซึ่งก็คือการออกกำลังกายแบบหนักสลับเบา เพื่อให้ร่างกายของเราสามารถเผาผลาญไขมันได้เยอะ ในเวลาอันสั้น ใช้เวลาเพียงแค่ 10 นาที จะมีท่าไหนกันบ้าง ลองไปดูกัน

A person lifting weights

Warm-Up

  1. เริ่ม Warm-Up ร่างกายด้วยท่าวิ่ง Jogging โดยให้วิ่งต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ อาจจะสะบัดแขน สะบัดข้อมือไปด้วยก็ได้ พอครบ 30 วินาทีแล้วจึงค่อยเปลี่ยนท่า 
  2. ต่อไปคือการ  Warm-Up ในส่วนขา ไหล่ และหลัง โดยการย่อตัวลงใช้มือซ้ายแตะที่ปลายเท้าขวา และใช้มือขวาแต่ที่ปลายเท้าซ้าย สลับกันไปมา ตอนที่ย่อตัวลงอย่าลืมดันสะโพกไปด้านหลัง และเปิดหัวไหล่ออก ทำต่อเนื่องไป 30 วินาที
  3. ท่าต่อไปคือ ท่า Jump & Jam เป็นการกระโดดและกางขาออก พร้อมยกมือขึ้นเหนือหัว 
  4. ท่าต่อไปคือ การวิ่ง Slide ข้าง โดยเวลาวิ่งให้ยกเข่าขึ้นในระดับตั้งฉากกับพื้น  

หลังจาก Warm-Up เสร็จแล้วจะเข้าสู่ท่าออกกำลังกาย โดยจะแบ่งเป็นท่าเบา 3 นาที
1. ท่าแรก Forward Squat Jumps คือการทำ Squat 2 ครั้ง สลับกับการกระโดดไปข้างหน้า 1 ครั้ง ทำซ้ำ 10-15 ครั้งต่อเซต ทำทั้งหมด 3 เซต

2. ท่าต่อมา คือ Touch The Floor Sprint เป็นการวิ่งกลับไป-มา พร้อมกับเอามือแตะที่พื้น ทำซ้ำ 10-15 ครั้งต่อเซต ทำทั้งหมด 3 เซต

และท่าที่ 3. ให้ลงไปทำ High Plank และกระโดดให้หัวเข่าเข้ามาอยู่ชิดข้อศอก เรียกว่าท่า Frog Jumps ซ้ำ 10-15 ครั้งต่อเซต ทำทั้งหมด 3 เซต โดยระหว่างเปลี่ยนท่าให้ทำ Jogging Place หรือการวิ่งอยู่กับที่ อย่างน้อย 30 วินาที 

แค่ 3 ท่าออกกำลังกายง่าย ๆ เหล่านี้ ก็ช่วยให้เราสามารถเผาผลาญไขมันไปได้ แต่การออกกำลังกาย จะมีประสิทธิภาพ และได้ผลดียิ่งขึ้น หากทำอย่างต่อเนื่องทุกวัน

3 ไอเดียเริ่มต้นทำ Video Marketing ในยุค 2022

3 ไอเดียเริ่มต้นทำ Video Marketing ในยุค 2022

ปฏิเสธไม่ได้ว่าการทำธุรกิจโดยใช้วิดีโอคอนเทนต์ เป็นส่วนหนึ่งในการดำเนินกิจกรรมทางการตลาดนั้น เป็นที่น่าสนใจมากยิ่งขึ้นในปัจจุบัน นอกจากจะสร้าง Engagement ได้ดีแล้ว ยังเป็นที่สนับสนุนของ Social Media Platforms ต่าง ๆ อีกด้วย อย่างที่จะเห็นได้ว่ามีการนำฟีเจอร์วิดีโอขึ้นมาเป็นส่วนหนึ่งในหลากหลายแพลตฟอร์มในปัจจุบัน รวมถึง Facebook เองที่ก็ไม่น้อยหน้า เชื่อมโยง Reels เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งด้วยเช่นเดียวกัน เพื่อตอบสนองพฤติกรรมผู้บริโภคในปัจจุบันที่ชื่นชอบการเสพวิดีโอคอนเทนต์กันมากขึ้น

วันนี้เราจึงมาพร้อมกับ 3 ไอเดียสำหรับเริ่มต้นทำ Video Marketing ในปี 2022 จะมีอะไรบ้าง มาดูกันเลย

A person holding a camera

  1. วิดีโอนำเสนอสินค้า

เจ้าของธุรกิจหลายคนอาจสังเกตได้ว่าการโพสต์รูปภาพสินค้านั้นไม่ได้รับความนิยมเท่าที่ควรอีกต่อไป ในทางกลับกัน คอนเทนต์ที่เป็นวิดีโอจะช่วยดึงดูดความสนใจได้มากกว่า ดังนั้นใครที่อยากนำเสนอสินค้า ให้ลองทำเป็นรูปแบบวิดีโอแทนการถ่ายภาพนิ่งอาจช่วยเพิ่มความสนใจได้มากขึ้น เพราะลูกค้าได้เห็นสินค้าจริงในหลากหลายมุม แถมยังสามารถสาธิตวิธีการใช้ได้อีกด้วย 

 

  1. วิดีโอเล่าเรื่องราวของแบรนด์

การที่จะทำให้ลูกค้าหรือผู้คนจำนวนมากสนใจธุรกิจได้นั่นก็จะต้องเริ่มจากการมีแบรนด์ที่แข็งแกร่ง สื่อสารได้ชัดเจน มีเอกลักษณ์ ซึ่งการทำวิดีโอนั้นอาจจะช่วยให้ลูกค้าเข้าใจธุรกิจของคุณได้มากที่สุด

 

  1. วิดีโอรีวิวจากผู้ใช้งาน

สิ่งหนึ่งที่มีผลต่อการตัดสินใจซื้อเป็นอย่างมากในปัจจุบันก็คือรีวิวจากผู้ใช้จริง ซึ่งถึงแม้จะมีรีวิวรูปภาพหรือคำวิจารณ์จากลูกค้าแล้ว การทำวิดีโอรีวิวยังเป็นการแสดงถึงความจริงใจและเพิ่มความน่าสนใจได้มากขึ้นอีกด้วย

ทำความรู้จักก่อนเล่นหุ้น bottom-up และ top-down ต่างกันอย่างไร

ถ้าหากใครที่เพิ่งจะก้าวเข้าสู่ตลาดหุ้นและอยู่ในช่วงที่กำลังศึกษารายละเอียดของหุ้นแต่ละแบบกันอยู่ ก็ต้องบอกว่าถือเป็นสิ่งที่ดีในการวิเคราะห์และคัดหุ้นที่เหมาะกับเราจริงๆ โดยไม่ลงทุนหรือซื้อตามคนอื่นเขา ซึ่งการเลือกหุ้นนั้นก็จำเป็นที่จะต้องเลือกเทคนิควิเคราะห์หุ้นให้ดี โดยเฉพาะเทคนิค Bottom-Up และ Top-Down ที่นักลงทุนสายปัจจัยพื้นฐานจำเป็นจะต้องให้ความสำคัญกัน คำถามต่อมาก็คือ Bottom-Up และ Top-Down แตกต่างกันอย่างไร

 

เพื่อสร้างความเข้าใจให้ดีว่า Bottom-Up และ Top-Down แตกต่างกันอย่างไรนั้นก็ต้องมาทำความรู้จักก่อนว่าแต่ละแบบนั้นมีวิธีการวิเครราะห์อย่างไรบ้าง

เล่นหุ้น

  • การวิเคราะห์แบบ Bottom-Up

สำหรับการวิเคราะห์ในรูปแบบนี้จะเป็นการวิเคราะห์จากล่างขึ้นบน เป็นพิจารณาจากภาพย่อยก่อนขึ้นไปหาภาพใหญ่ เช่น เราสนใจในหุ้น A ข้อมูลหุ้นดี มีความมั่นคงและเติบโต แต่มีราคาปรับตัวลงเร็วมาก ทำให้เราจำเป็นจะต้องวิเคราะห์ถึงงบประมาณทางการเงิน คู่แข่ง ประเภทอุตสาหกรรม เทรนด์ รวมไปถึงเศรษฐกิจภาพรวมของประเทศ เป็นต้น

 

  • การวิเคราะห์แบบ Top-Down

เพื่อแสดงให้เห็นว่า Bottom-Up และ Top-Down แตกต่างกันอย่างไรนั้น ต้องบอกว่าการวิเคราะห์แบบ Top-Down นั้น จะเป็นการวิเคราะห์จากภาพใหญ่ก่อนค่อยมามองที่ภาพเล็ก โดยจะเป็นการวิเคราะห์โดยพิจารณาจากระบบเศรษฐกิจในปัจจุบันให้ดีเสียก่อนว่าเป็นอย่างไร มีแนวโน้มที่จะเติบโตหรือไม่ หลังจากนั้นให้พิจารณาปัจจัยเชิงคุณภาพของหุ้นในอุตสาหกรรมที่เลือก หลังจากนั้นให้นำหุ้นมาเปรียบเทียบว่ามีความได้เปรียบเชิงคุณภาพเท่าไหร่ หลังจากนั้นจึงวิเคราะห์หุ้นรายตัว เพื่อประเมินมูลค่าหุ้น หลังจากที่ได้หุ้นตัวที่พอใจในราคาที่เหมาะสม ก็ค่อยซื้อหุ้นได้